สวัสดี
วันนี้ไปมอบตัวที่โรงเรียนมา
คือเรียนม.หกแล้วนะ แต่ก็ยังต้องไปมอบตัวอีก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไปเพื่ออะไร
แต่ช่างมันเถอะ บ่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา อีกอย่างคือมันมอบตัวเสร็จแล้วด้วย ฮ่าๆ
ก็นะ...
วันนี้ว่างๆ ก่อนนอนเลยคิดว่าน่าจะลองมาอัพข้อมูลคร่าวๆ ของทุน
MEXT อันนี้เฉพาะทุน Undergraduate นะ
คือทุนของปริญญาตรี สำหรับเด็กที่เพิ่งจบม.หกหรือคาดว่าจะจบม.หกในปีที่รับทุนนั้นๆJ
ขั้นแรกเลย
ดูก่อนว่ามีสาขาที่เราสนใจจะขอทุนไหม
สาขาก็มีตามนี้
เปิดดิกชันนารี่แปลเอา ฮ่าๆ เราเลือกแพทยศาสตร์อย่างเดียวเลย
คือไม่รู้ว่าจะเลือกอันไหนอีก ถึงจะมีเภสัชกร ทัตแพทย์ แล้วก็สัตวแพทย์ก็เถอะ
มีความรู้สึกว่าอยากเลือกแพทยศาสตร์อย่างเดียว ก็เลยเลือกอย่างเดียว ไม่รู้เขาจะให้ผ่านหรือเปล่า
แต่ก็แล้วแต่โชคชะตาฟ้าลิขิตแหละนะ
เวลาเลือกสาขาเนี่ย
เขาจะให้เลือกได้สามสาขา แต่เวลาเลือกสาขาจะต้องไม่เลือกข้ามหมวด อย่างเช่นเลือก
U1 หมวด Social A ก็ต้องเลือกอีกสองสาขาจากในหมวดนั้นเพราะมันใช้วิชาสอบไม่เหมือนกัน
ยกเว้น Natural Science C ที่จะสามารถเลือกข้ามกันระหว่าง
Natural Science B กับ C ได้ด้วย เพราะC มันมีสาขาให้เลือกแค่สองสาขาคือแพทย์กับทัตยแพทย์
ทีนี้มาดูคุณสมบัติผู้สมัครคร่าวๆ
ก่อน J
-
ต้องมีสัญชาติไทย
-
อายุ พูดง่ายๆ ก็คือต้อง
17 ให้ทันเดือนเมษาของปีที่รับสมัครทุน อย่างของปีนี้ทุนปี 2014 เขาให้โอกาสคนเกิดช่วงเดือนเมษา 1992 – เมษา 1997
-
ต้องจบการศึกษาภาคบังคับทั้ง
12 ปี (ก็คือจบม.หกแล้วนั่นเอง)
หรืออาจจะได้รับวุฒิการศึกษาเทียบเท่าการจบไฮสคูลของที่ญี่ปุ่นก็ได้
(ในกรณีที่ไม่ได้เรียนสายสามัญแล้วจบม.หกปกติอ่ะนะ) พูดง่ายๆ
ก็คือจะสมัครได้ต้องจบม.หกก่อนหรือคาดหวังว่าจะจบม.หกภายในเดือนมีนาของปีที่ได้รับทุนนั้นๆ
อย่างเราปีนี้เรียนม.หก ขอทุนของปี 2014
ก็คือเราต้องจบม.หกภายในมีนา 2014
ซึ่งก็สามารถสมัครขอทุนได้เลย
-
GPA
ถ้าผ่านอย่างในอย่างหนึ่งในสามข้อนี้ก็ถือว่าสมัครได้
o
มีเกรดเฉลี่ยสะสม
3.80 ขึ้นไปในช่วงมัธยมปลาย (ของคนที่ยังไม่มีเกรดม.หกก็ยื่นเกรดม.สี่ม.ห้าไปก่อน)
o
มีเกรดเฉลี่ยสะสมมากกว่า
3.30 ในช่วงมัธยมปลาย และมีการสอบวัดผลวิชาภาษาญี่ปุ่นโดย Japan
Educational Exchanges and Services and the Japan Foundation
ในเลเวล 1/N1และ 2/N2
o
มีเกรดเฉลี่ยสะสมมากกว่า
3.350 ในช่วงมัธยมปลาย และมีการสอบวัดผลวิชาภาษาญี่ปุ่นโดย Japan
Educational Exchanges and Services and the Japan Foundation
ในเลเวล 3/N3และ N4
ก็ทำนองนี้แหละ
ที่จริงมันก็มีรายละเอียดมากกว่านี้นิดหน่อยลองไปหาอ่านดูแต่โดยรวมก็แค่นี้แหละ
อาจจะมีเพิ่มตรงพวกวิชาภาษาญี่ปุ่น คือเราไม่มีพื้นญี่ปุ่นเลยแต่เกรดเกิน 3.80 ก็สามารถสอบได้เหมือนกัน ในสาขาที่ไม่ต้องใช้ภาษาญี่ปุ่นนะ
อย่างเช่นพวกสายวิทย์อ่ะได้ แต่ถ้าสายศิลป์ที่จะเลือกพวกอักษรญี่ปุ่นอะไรแบบนี้ก็ต้องมีพื้นญี่ปุ่นอยู่แล้วเพราะมันต้องใช้สอบ
รายละเอียดทุนคร่าวๆ
เท่าที่เราอ่านมานะ คือจะลองเล่าให้ฟังคร่าวๆ ตามที่เข้าใจ
คือแบบว่าจะให้แปลแล้วพิมพ์ลงทุกตัวก็คงไม่ไหว
โดยรวมก็คือเขาจะให้ทุนเราตลอดระยะเวลาที่เรียนที่นู่นรวมกับที่เรียนปรับพื้นฐานอีกหนึ่งปี
เราแทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเองเลยยกเว้นค่าเดินทางตอนไปกับกลับสนามบินเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีเบี้ยเลี้ยงให้ด้วย ถามว่าเยอะไหมสำหรับเราเราว่าก็เยอะอยู่
แต่เท่าที่ไปถามคนอื่นๆ มาเขาบอกว่าไม่เยอะเท่าไหร่เพราะที่นู่นค่าครองชีพสูงมาก
แต่ถ้าใช้ประหยัดๆ ก็น่าจะไหวอยู่
สำหรับเบี้ยเลี้ยงในแต่ละปีจะแตกต่างกันไปตามงบประมาณของรัฐบาลในปีนั้นๆ
เราว่าแบ่งเป็นข้อๆ
ดีกว่า อ่านง่ายดี ฮ่าๆๆ
-
ทุนนี้เป็นทุนให้เปล่า
คือส่งเราไปเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วจบแล้วเราก็จะไปทำอะไรก็เรื่องของเราเลย
แต่ในความคิดเราก็น่าจะตอบแทนประเทศชาติหน่อยอย่างเช่นไปทำงานให้รัฐบ้างอะไรบ้าง
-
คือพอสอบข้อเขียนเสร็จ
เขาจะประกาศผลและเรียกสัมภาษณ์ แน่นอนว่าสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษนะ
อาจจะเป็นภาษาญี่ปุ่นสำหรับคนที่พูดได้ ฮ่าๆ และสุดท้ายก็ประกาศผลสัมภาษณ์
คือเรื่องของเรื่องมันอยู่ตรงนี้
ถึงเราจะมีชื่ออยู่ในคนที่สัมภาษณ์ผ่านแล้วก็อย่าเพิ่งดีใจไป มันไม่ได้หมายความว่าเราได้ทุนนี้นะ
ทางสาถานทูตเขาจะนัดเจอเราอีกรอบเพื่อที่จะเสนอชื่อเราให้
MEXT เขาไปคัดเลือกกับคนอีกทั่วทั้งโลก
แน่นอนว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเรียกเขาไปเพื่อเสนอชื่อ ไม่ว่าเราจะสมัครสาขาอะไรก็ตามเราต้องสอบภาษาญี่ปุ่นนะ
อันนี้ก็เพื่อใช้เป็นข้อมูลว่าภาษาญี่ปุ่นเราอยู่ระดับไหน
และเขาควรจะจัดการปรับพื้นฐานให้เรายังไงถ้าสมมติเราได้ทุน ก็ตามนี้แหละ
สุดท้ายก็คือแข่งกับคนทั้งโลก J
-
สำหรับเรียนปรับพื้นฐานหนึ่งปีคือเรียนภาษาญี่ปุ่นและวิขาต่างๆ
ที่ใช้ในมหาวิทยาลัย อันนี้สามารถยื่นเรื่องขอผ่านได้ ก็คือไม่เรียน
แต่เขาก็ต้องพิจารณานะ คือเราต้องเทพจริงๆ เทพทั้งภาษาญี่ปุ่นเทพทั้งเนื้อหา
เท่าที่อ่านมาเหมือนมันจะต้องยื่นแบบตรงหรืออะไรสักอย่างด้วย
เราไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะเราคิดจะไปปรับพื้นฐานอยู่แล้ว
-
ที่เรียนมหาวิทยาลัย
อันนี้สำคัญมาก ถึงเราจะได้ทุน MEXT
แล้วแต่เรายังถือว่ายังไม่มีที่เรียนในมหาวิทยาลัยอยู่นะจ๊ะ
เราต้องปรับพื้นฐานให้จบหนึ่งปีก่อนแล้วผู้ดูแลทุนเขาจะเลือกมหาวิทยาลัยให้เราสอบเข้า
เขาจะดูคะแนนในการปรับพื้นฐานของเรา ดูว่าเราเหมาะกับมหาวิทยาลัยไหนมากที่สุด
สำหรับเราเราคิดว่าไม่ต้องกังวลว่าจะไปสอบมหาวิทยาลัยไม่ได้
เพราะว่าถ้าได้ทุนนี้แล้วให้มั่นใจได้เลยว่าคุณมีความสามารถ (แต่ก็ไม่ควรประมาทนะ)
เชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ J
ก็คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง
นึกออกแค่นี้ ฮ่าๆๆๆๆ
เกือบลืมไป
กำหนดการทุน สำหรับปีนี้เขาเปิดแจกเอกสารใบสมัครตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ให้ยื่นใบสมัครด้วยตัวเองที่สถานทูตภายในวันที่ 3-7 มิถุนายน สำหรับคนที่จะส่งทางไปรษณีย์ก็สามรถส่งไปได้แต่ต้องตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วน
คือถ้าผิดเขาจะตัดเราทิ้งเลยนะ สำหรับที่อยู่ก็
คือเวลาเราส่งไปรษณีย์เนี่ย
จะส่งเมื่อไหร่ก็ได้ วันไหนก็ได้ แต่เอกสารต้องไปถึงเขาภายในวันสุดท้ายของการรับสมัคร
อย่างปีนี้ก็ภายในวันที่ 7 มิถุนายน
เราโทรไปถามสถานทูตมาแล้ว
เขาบอกว่าถ้าพร้อมตั้งแต่วันที่หนึ่งพฤษภาก็คือสามารถส่งเอกสารมาได้เลย แต่ว่าเขาจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบเอกสารแค่วันที่
3-7 มิถุนาเท่านั้น
(ก็คือจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจเอกสารแค่วันที่เขากำหนดเท่านั้น)
ทีนี้เวลาเราส่งเอกสารทางไปรษณีย์เนี่ย เราควรส่งแบบที่มันติดตามได้นะ
จะได้รู้ว่าถึงไหนแล้ว พอเราเช็คสถานะจดหมายเราว่าส่งถึงแล้วก็ให้โทรไปถามสถานทูตอีกทีว่าได้รับหรือยัง
อืม...
ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้ง ข้อสอบที่ใช้สอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดนะจ๊ะ ปีนี้สอบวันที่ 23 มิถุนา คือเร็วมาก ฮ่าๆ แต่ก็ต้องเข้าใจนะเพราะเราต้องเดินทางไปเรียนนู่นช่วงเมษา พอเขาคัดเสร็จอะไรเสร็จกว่าจะรู้ผลจริงจังก็มกรานู่นแล้ว ;___;
วิชาที่สอบก็ตามนี้เลย
ดูเอาว่าเราเลือกสาขาไหน
อย่าเราเลือก U2 Natural science C ก็สอบภาษาอังกฤษ
คณิต เคมี แล้วก็ชีวะ อะไรทำนองนี้ ตอนนี้ลุ้นมาก เปิดเทอมก็ยังไม่เปิด เอกสารยังเตรียมไม่ครบเพราะต้องรอเปิดเทอม
กลัวไม่ทันมากๆ แต่มันก็ต้องทันแหละนะ J
ตอนแรกเรากังวลมากเรื่องที่ต้องส่งไปรษณีย์เพราะไม่สามารถไปส่งเองที่สถานทูตได้เพราะกลัวเอกสารจะผิดพลาด
แต่แม่เราบอกว่าบางครั้งก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของโชคชะตา ถ้าหากเราจะได้ไปอยู่ที่นู่น
มันก็ต้องผ่านนั่นแหละ และที่สำคัญ
เราควรจะลิขิตชีวิตตัวเองให้ได้มากที่สุดไม่ใช่เอะอะอะไรก็โทษโชคชะตาอย่างเดียว
แม่บอกว่ามันก็แค่บางอย่างเท่านั้น
บางอย่างที่ขึ้นอยู่กับโชคชะตาจริงๆ
เพราะที่เหลือ
มันคือชีวิตของเรา
ทางเดินของเรา
เราเลือกเองได้
สวัสดี
<3
ปล.
เดี๋ยวถ้าจัดการเรื่องใบสมัครเสร็จแล้วและผ่านแล้วจะกลับมาอธิบายใบสมัครให้เป็นส่วนๆ
J
ไม่มีความคิดเห็น: