The HersyP's Jouney

31.12.60

Dear 2017
ธันวาคม 31, 25600 Comments
หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปีนี้สำหรับฉันเหมือนเป็นภาพเบลอ อะไรหลายๆ อย่างเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

ฉันเริ่มทำขนม มันเริ่มขึ้นตั้งแต่ที่พี่แนตกับแม่ซื้อเตาอบให้เป็นของขวัญวันเกิด ไมแ่น่ใจว่ามันเกี่ยวกับการเรียนเภสัชด้วยไหมที่ทำให้ฉันหลงใหลในการทำขนมทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยคิดจะแตะ

ฉันเลิกเขียนนิยาย ฉันยังคงเขียนบทความเล็กๆ น้อยๆ แต่ความวุ่นวายในชีวิตทำให้ฉันไม่มีเวลาแม้แต่จะเปิดหน้า word ขึ้นมา นั่นทำให้ในหัวของฉันมีพลอตนิยายตีกันเป็นล้านๆ เรื่อง

แปลกดีที่พอโตขึ้น ความรับผิดชอบของเราก็มากขึ้น มันไม่ใช่แค่ว่าเรียนๆ ให้จบๆ แต่มันเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับการทำงาน การหางาน การวางแผนอนาคต
ฉันยังคงใช้ชีวิตในแบบของฉัน
ดูหนังในโรงภาพยนต์อย่างน้อยเดือนละหนึ่งเรื่อง
แต่ชีวิตของฉันเปลี่ยนไปจากปีก่อน
อาจเป็นเพราะกลุ่มเพื่อนที่เปลี่ยนไป มันทำให้ฉันต้องโตขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ฉันไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่ความคิดของฉันสุขุมมากขึ้น เหมือนจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

ฉันทำกิจกรรม
ใช่ อ่านไม่ผิดหรอก ฉันเริ่มทำกิจกรรมแล้ว มันบ้ามาก ฉันรู้ แต่ฉันก็ยังคงเลือกทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ฉันอยากทำ
ฉันทำงาน APPS ที่จัดขึ้นที่ไทยเป็นครั้งที่สอง เป็น academic committee จริงๆ ฉันมีแผน ฉันตั้งใจจะไปแข่ง CE ในงาน IPSF แต่มันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเพราะควาไม่กล้าตัดสินใจของฉัน ฉันก็แค่กลัวที่จะต้องไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นอีก อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็คิดแบบนั้น
ฉันช่วยงาน Open house ของคณะ ไม่หนักเท่าไหร่ถ้าเทียบกับการตั้งโจทย์ CE ที่งาน APPS
ฉันไปค่ายอาสา สิ่งแปลกใหม่สิ่งหนึ่งที่ทำในชีวิตปีที่ 21 ย่าง 22 ของฉัน มันเป็นความฝันฉันตั้งแต่เด็ก ค่ายนี่ไม่เหมือนที่คิดไว้ แต่ก็ไม่ได้แย่ ฉันสนุกกับมัน อย่างน้อยก็ได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียนมาบ้าง

ฉันไม่ค่อยได้อ่านหนังสือ
เหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ แต่ตอนนี้ฉันเริ่มรักการดูหนังมากกว่าแล้ว เพราะฉันไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือเลย อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังหลงรักการซื้อหนังสือเหมือนเดิม ฉันชอบกลิ่นกระดาษ

มีหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิตของฉัน
ฉันลองเป็นผู้ประสานงานวิชา
ผู้ประสานโครงการเตรียมความพร้อม (ซึ่งปวดหัวอย่าบอกใคร และโครงการยังไม่จบด้วย แต่ฉันได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ซึ่งขอบคุณมากจริงๆ)
จริงๆ หน้าที่ผู้ประสานไม่ว่าจะประสานอะไรก็ตาม มันเหนื่อยกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ ฉันได้เรียนรู้การทำงานกับผู้ใหญ่ เรียนรู้การวางตัวในเกมส์การเมือง แต่ก็ทำเอาเสียน้ำตาไปเยอะเหมือนกัน

ฉันไม่ค่อยได้กลับบ้าน
ไม่คิดหรอกว่ามันจะเกิดขึ้น แต่งานฉันยุ่งมากจริงๆ ไม่ยุ่งงานก็ยุ่งกิจกรรม

ฉันได้ B+ ตัวแรกในชีวิตมา ตอนแรกฉันคิดว่าตัวเองจะร้องไห้บ้านแตกเสียอีก แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย ฉันขำ ตลกดีเหมือนกัน

ฉันเจออาจารย์หลายท่านที่น่ารักกับฉันมาก มันทำให้ฉันเริ่มรักในที่ที่ฉันอยู่ รักในสิ่งที่ฉันเป็น และขอบคุณอะไรก็ตามในตัวฉันที่อาจารย์มองเห็นและคอยส่งเสริมฉัน (ซึ่งฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์มองเห็นอะไร)

และสุดท้ายนี้
finally, I met him.
เราเจอกันในงาน APPS แล้วมันบ้ามากที่เรายังคุยกันอยู่
ใช่, ฉันคิดว่าฉันกำลังตกหลุมรัก
ไม่เคยคิดจะเอาตัวเองไปผูกกับใครหรอก เงื่อนไขฉันเยอะ
ฉันเหงา แต่ถ้าให้ผูกมัดตัวเองไว้กับใคร ฉันก็คงต้องคิดหนักหน่อย
ก็คงต้องเรียนรู้กันต่อไปเรื่อยๆ แล้วในที่สุด ฉันก็ได้แต่หวังว่าปีหน้าฉันจะได้เขียนถึงเขาอีก
:)

ขอบคุณปีนี้ที่สอนอะไรฉันหลายๆอย่าง
<3
ไม่ได้เป็นปีที่แย่ ถึงจะเป็นปีที่เหนื่อยที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
แต่จริงๆ มันก็เป็นปีที่ฉันสนุกที่สุดเหมือนกัน :)

2018 goal
จริงๆ ฉันเขียน new year resolutions ไว้หลายอย่างมากในปีที่แล้ว ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง
- drive a car (นี่เขียนมาทุกปีตั้งแต่อายุ 18 ตอนนี้ก็ยังขับรถไม่แข็งกับเขาสักที)
- do somethings to get out of comfort zone (ค่อนข้างกว้างแต่พอถึงเวลานั้นน่าจะรู้เอง)
- สอบความรู้สภาเภสัชให้ผ่าน (อันนี้ต้องผ่านนะ!)
- traveling to places I've never visit with friends

HersyP
31/12/17
Read more

28.12.57

ทริปเกาะช้างหลังสอบเสร็จ :)
ธันวาคม 28, 25570 Comments

สวัสดี J
                หายไปนานกลับมากับทริปเกาะช้างจ้า หลังจากมีที่เรียนแล้วเรียนไปหนึ่งเทอมพบว่าหาเวลาว่างไม่ได้เลยจ้า T__T พอสอบเสร็จพ่อก็เซอร์ไพรส์ (หรือเปล่า) โดยการพาไปเกาะช้างในวันคริสต์มาสซะเลย
                อันที่จริงเหตุเกิดตอนที่เพิ่งได้กล้องใหม่มาหนึ่งตัวแล้วไม่รู้จะหัดถ่ายตรงไหน พ่อเลยพาไปเที่ยวจะได้มีวิวสวยๆ ให้ทาย แหมๆ ที่จริงไม่เห็นต้องลำบากเลย แค่ต้นไม้ใบหญ้าก็หัดถ่ายได้แล้ว (เหรอ) แต่จริงๆ ก็ดีใจมากๆ นะที่จะได้ไปเที่ยวเกาะ ไม่ได้ไปมาน๊านนาน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยไปมาแล้ว
                คืองี้ เกาะช้างเป็นเกาะที่อยู่จังหวัดตราด (รู้แค่นี้แหละ) แล้วก็มีเรือที่แม่เรียกว่าเรือเฟอร์รารี่ (เรานี่ต้องแก้ว่า แม่ เฟอร์รี่ค่ะเฟอร์รี่) เรือเฟอร์รี่จะพาเราออกจากแผ่นดินไทยไปยังเกาะไทยที่ชื่อว่าเกาะช้าง ไม่รู้ทำไมเขาเรียกว่าเกาะช้าง เรายืนมอง นั่งมอง นอนมอง ยังไงก็ไม่เห็นเหมือนเกาะช้างเลยสักนิด



ภาพนี้ได้มาตอนที่อยู่บนเรือเฟอร์รี่แล้วนึกครึ้มเดินไปบนดาดฟ้าเรือ เห็นวิวสวยดีเลยถ่ายมาซะเลย โหมดถ่ายภาพเป็นโหมด P ค่ะ พี่ชายที่เล่นกล้องบอกว่ามือใหม่หัดถ่ายโหมด P ไปก่อนแล้วค่อยไปดูอินโฟภาพแล้วหัดถ่ายโหมดอื่นทีหลัง คือเราเป็นคนไม่เข้าใจภาษากล้องสักเท่าไหร่ ไม่ใช่นักถ่ายรูป ก็แค่มีกล้องแล้วถือถ่ายไปเรื่อยๆ เอาสนุกค่ะ 5555
               
                พอมาถึงเกาะ สิ่งที่ทำต่อมาคือนั่งรถค่ะ พี่ชายขับรถขึ้นเขา โคตรเสียว คือมันสูงแล้วมันชันแถมโค้งเยอะมากอีกต่างหาก เจอป้ายแปลกๆ ด้วย ก็งงๆ ว่าโปรดอย่าสวนทางช้างคืออะไร ฮา



                และแล้วก็มาถึงที่พัก คือที่พักบรรยากาศดีมากๆ แต่ว่าเราถ่ายรูปอะไรแบบนั้นไม่เป็น เลยจบลงที่รูปทะเลดีกว่า 5555 เราชอบรูปนี้มาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม คงเพราะแสงที่สะท้อนพื้นน้ำกับหินล่ะมั้ง ตอนเย็นๆ น้ำลง เราลงไปว่ายน้ำแล้วก็ขึ้นทางบันไดหินนี้เลย แต่บอกเลยว่าหินด้านล่างคมมาก


                อันนี้เป็นอีกภาพในรีสอร์ท บอกแล้วว่าบรรยากาศดีมาก เดี๋ยวไว้ไปอีกรอบจะถ่ายรูปรีสอร์ทมาเยอะๆ 55555 ชื่อรีสอร์ทที่เราไปพักชื่อว่าใบลานบีช ถามว่าหายากมั้ยมันก็ไม่ได้หายากนะ ป้ายใหญ่แทบจิ้มลูกกะตา แต่พี่ชายเราเล่าว่าตอนไปครั้งแรกหาไม่เจอ แล้วโทรศัพท์ถามที่รีสอร์ทว่ารีสอร์ทคุณอยู่ไหน ตอนนี้ผมอยู่หน้า (แล้วก็หันไปอ่านป้าย) ใบลานบีช เอ้อ เจอแล้ว ขอบคุณครับ 5555 คือก่อนถึงรีสอร์ทมันจะมีป้ายของรีสอร์ทเรนโบว์อะไรสักอย่างอยู่แล้วมันเด่นกว่ามากๆ เลยล่ะ


                เราก็ไม่ได้ทำอะไร ไปถึงที่พักตอนบ่ายๆ พ่อบอกว่าให้นอนเล่นไปก่อนแล้วค่อยเล่นน้ำสี่โมงเย็น เล่นตอนนี้มันร้อน เราก็เลยถ่ายรูปเล่นซะเลย ใครไม่รู้ตกปลา เห็นน่าถ่ายดีเลยถ่าย แชะ 5555 คือเราถ่ายอะไรไร้สาระนิดหน่อย แบบว่าพี่ชายบอกว่าหัดถ่ายเยอะๆ เดี๋ยวก็เก่ง เราไปถ่ายมาสามร้อยกว่ารูป เราว่าเยอะนะ แต่พี่ชายเราบอกน้อยมาก เมื่อไหร่จะถ่ายเก่ง ไปเที่ยวเขาถ่ายกันเป็นพันๆ รูป T__T


                หลังจากเล่นน้ำเสร็จก็รีบไปอาบน้ำเพราะพระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว แถมตกเร็วมากด้วย คว้ากล้องมากดชัตเตอร์รัวๆ แทบไม่ทัน  5555




                อันนี้พระอาทิตย์ตกไปแล้ว แต่ว่าชอบแสงที่สะท้อนเมฆมากๆ ก็เลยถ่ายมา ปรับโหมด P เหมือนเดิม ไปๆ มาๆ ไม่ถูกใจเลยปรับ M แล้วเพิ่มอุณหภูมิแสงเยอะๆ ปรากฏว่าไม่ถูกใจอีก สุดท้ายก็ชอบรูปที่ได้จากโหมด P สองรูปแรก (แล้วที่เหลือจะถ่ายมาทำไม 55555)



                ถ่ายรูปเสร็จ ออกไปกินข้าวที่ร้านอะไรสบายๆ สักอย่างที่แหละ อาหารกินได้นะ อร่อยดี หมูนี่นุ่มม๊ากมาก แต่ปูไม่อร่อยเลย ไม่แน่น แต่ให้อภัยได้ค่ะ 555 เสียดายมากที่ไม่ได้เอากล้องไป วางทิ้งไว้ที่รีสอร์ท เห็นว่าจะไปกินข้าวอย่างเดียว ไม่รู้ว่าเขามีโชว์ไฟด้วย คือมันเฟอร์เฟคมาก สวยมากๆ อยากถ่ายรูปเก็บไว้มากๆ T__T อยากจะร้องไห้เป็นภาษาพาร์เซลล์
                เช้าวันรุ่งขึ้น จะกลับบ้านแล้ว แต่แบบยังไม่ค่อยได้ทำอะไรเลย ตอนแรกพ่อจะพาไปน้ำตกบนเกาะต่อ แต่ขี้เกียจเดินกัน ไปๆ มาๆ จบลงที่ลองขี่ช้างดูแล้วกัน บอกเลยว่าตอนแรกกลัวมากๆ อยู่ในสภาวะป๊อด มือไม้เย็นไปหมด เราไม่ได้กลัวความสูงนะ แต่กลัวช้าง 5555
                พอคุยราคาเสร็จเรียบร้อย เราเลือกนั่งแบบครึ่งชั่วโมง คนละห้าร้อยบาท ตอนแรกก็ว่าแพงนะ แต่พอมาคิดๆ แล้วมันก็สมราคาดี กว่าเขาจะฝึกช้างได้ขนาดนั้น ตอนแรกเราก็สงสัยว่าจะขึ้นช้างยังไง แล้วก็ถึงบางอ้อตอนที่เขาพาเราไปบนเรือนไม้หน้าตาคล้ายๆ บ้านยกใต้ถุนสูง มีสองฝั่ง ตรงกลางเป็นทางช้างเดิน เราสนใจป้ายป้ายนึงมากๆ เลย มันเป็นป้ายคิวช้าง มีเขียนด้วยนะว่าใครหยุด พี่ชายเราแซวว่า ช้างมีหยุดงานด้วย พนักงานเขาบอก อ๋อ ช้างตกมันค่ะ เลยมาทำงานไม่ได้


                เราได้นั่งช้างที่ชื่อน้องตุ้ม ไม่เรียกน้องแล้วม้าง พี่คนขี่ช้างบอกว่าน้องตุ้มอายุเกือบร้อยปีแล้ว คือแบบ โหย แบบนี้ต้องเรียกย่าแล้วค่ะ น้องตุ้ม(เรียกน้องแล้วกันเนาะ เห็นพี่เขาเรียกน้องเราก็เรียกน้องบ้าง)กลัวแม็กโครค่ะ พอเจอแม็คโครน้องเดินเร็วขึ้นมากจนเราจับราวจับแทบไม่ทัน จุดนั้นกลัวมาก แต่ก็สนุกมากเหมือนกัน พี่คนขี่ช้างเขาแซวว่าถ้าเกิดน้องวิ่งมาจริงๆ จะทำยังไง เราก็บอก ช็อคค่ะ ทำไรไม่ถูก แล้วพี่เขาบอก กลัวยังไงก็อย่าโดดลงไปข้างล่างนะ เรานี่ขำก๊ากเลย พี่เขาตลกมากๆ


                เราพยายามถ่ายรูปเพื่อนร่วมทางอันได้แก่พี่ชาย พี่สะใภ้ พ่อและแม่ด้วยมืออันสั่นเทา ตอนแรกภาพเบลอ พี่ชายบอกดันไอเอสโอขึ้น พอทำตามรูปก็ออกมาดีขึ้น เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันเป็นการเพิ่มความเร็วชัตเตอร์ 5555 เป็นการกดชัดเตอร์แบบรัวๆ และไม่ลืมหูลืมตาเพราะไม่กล้าปล่อยมือจากที่จับนาน น้องตุ้มเดินได้วิบากมาก เอวงี้แทบเคล็ด 555




                เราโคตรประทับใจการนั่งช้างอ่ะ คือแบบช้างน่ารักมาก เลยไปซื้อของกินให้น้องตุ้ม น้องตุ้มกินเก่งมาก รีบเอางวงมารับอาหารไปจากเราแล้วตุนไว้ในปาก พอหมดแล้วก็ยื่นมาขออีก ถ้าไม่ติดว่าที่ซุ้มไม่มีอาหารแล้วก็คงให้อีก น้องตุ้มน่ารักมาก เสียดายที่เราไม่ได้ถ่ายรูปไว้ น้องตุ้มพยายามจะเอากล้องเราไปกินด้วย เห้ยน้องตุ้ม อันนี้ไม่ให้ หวงมาก ฮา
                และแล้วก็ถึงเวลากลับบ้าน ขามาเรามาเฟอร์รี่ลำเล็ก คราวนี้ขากลับได้กลับเรือเฟอร์รี่ลำใหญ่ นั่งสบายขึ้นเยอะ ให้ตาย เราหลงรักเกาะนี้เข้าแล้วจริงๆ เป็นเกาะที่ทำให้เราเบลอคิดว่ามาเที่ยวต่างประเทศ ฝรั่งเต็มไปหมดแถมทุกอย่างก็เป็นระเบียบมากๆ ผิดกับที่อื่นๆ อย่างเช่นตอนต่อแถวเอารถขึ้นเรือ เขาไม่ให้แซง พอมีรถคันหนึ่งแซงเจ้าหน้าที่ประกาศว่าหมายเลขทะเบียน xxxx แทรกแถวนะครับ กรุณากลับไปต่อแถวใหม่ด้วย รถคันนั้นเป็นอันต้องกลับรถแล้วไปต่อท้ายแถวซึ่งไกลกว่าเดิมมากๆ คือเราชอบระเบียบแบบนี้ ทุกคนเท่าเทียมกันดี



                พอขึ้นฝั่งที่ท่าเรือธรรมชาติเราก็มุ่งหน้าไปที่อ.ขลุงเพื่อหาปูนิ่มกิน (กินอีกแล้ว) เป้าหมายคือฟาร์มปูนิ่ม เราต้องนั่งเรือจากฝั่งไปที่ร้านปูนิ่ม (ทริปนี้นั่งแต่รถกับเรือ) บริเวณนี้จะเป็นป่าชายเลนซะส่วนมาก ในน้ำมีทุ่นขวด พ่อบอกว่าเขาทำไว้ให้หอยนางรมเกาะ พอถึงที่กินข้าวพ่อก็สั่งหอยนางรมมากินซะเลย บอกว่ามันสด 555




               รูปนี้เราถ่ายจากที่ร้าน มองๆ เห็นเมฆกับภูเขาสวยดีเลยกดชัตเตอร์ซะเลย 5555



                พอกินเสร็จ พ่อบอกอยากไปตกหมึก ก็เลยไปหาคิวเรือที่ท่าเรือตรงแขมหนู ปรากฏว่าออกเรือไม่ได้จ้า อดไปเลย T__T จบแล้วทริปนี้ สนุกมากแต่ก็เหนื่อยมากเหมือนกัน ทำเอาหัวถึงหมอนปุ๊บหลับสนิทเลย
               



28.12.14

HersyP
Read more

29.6.56

Mext Scholarship : When I'm Registering and Examining. :)
มิถุนายน 29, 2556 5 Comments

  สวัสดี 
            เมื่อวันที่ 23 ไปสอบทุนรัฐบาลญี่ปุ่นมา คือตอนแรกที่ทำข้อสอบเก่าคิดว่าทำชีวะไม่ได้วิชาเดียว เลยอ่านแต่ชีวะ ปรากฏว่าพอไปสอบจริงๆ ทำชีวะได้วิชาเดียวจ้า อยากร้องไห้มาก T___T โดยส่วนตัวคิดว่าคงไม่ติดหรอก แต่ก็จะอัพบล็อคนี้ไว้เพื่อเป็นวิทยาทานแก่รุ่นน้องนะคะ
            ตอนที่เราไปสอบเนี่ย เจอแต่เด็กมหิดลกับเด็กเตรียมอุดมเต็มไปหมดเลยอ่ะ คือใจฝ่อมาก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเนอะ 5555
            ที่ไปสอบอ่า เราว่าข้อสอบเก่าช่วยได้เยอะนะ ช่วยได้เยอะมากด้วย ในปีนี้ (2013 ขอทุนของ2014) เนี่ย ข้อสอบจะเป็นแนวเดียวๆ กับพวกปี 2006-2009 ค่ะ ไม่ค่อยเหมือนปี 2010 เท่าไหร่เลย (อันนี้เราพลาดมากเพราะทำข้อสอบเก่าเสร็จแค่ของปี2010 แต่ยังโชคดีที่ได้เห็นข้อสอบเก่าของ2006-2009 แล้วได้ลองทำพวกชีวะกับอังกฤษมาบ้างส่วนคณิตกับเคมีไม่ได้ลองทำเลย เสียใจ ;___;) ก็คือถ้าใครสนใจทุนนี้จริงๆแนะนำให้ทำข้อสอบเก่าให้ครบทุกชุดเท่าที่เขามีให้โหลดค่ะ สำหรับเว็บโหลดข้อสอบเก่าก็นี่เลยค่ะ
http://www.studyjapan.go.jp/en/toj/toj0308e.html
            สำหรับข้อมูลทุนอะไรต่างๆ เราอัพไว้ให้แล้วนะ ลองหาอ่านดู 5555 ต่อๆ เรื่องแนวข้อสอบนะคะ สำหรับปีนี้โดยส่วนตัวคิดว่าอังกฤษค่อนข้างยาก คือเราทำไม่ทันด้วยแหละ passage ค่อนข้างยาวมากๆ ค่ะ
            คณิตศาสตร์ปีนี้มาเป็นกระดาษแผ่นเดียวเลยค่ะ ให้เติมคำตอบ มีเรื่องล็อค เรื่องดิพพวกหาจุดสูงสุด ต่ำสุด ไรงี้น่ะค่ะ ไม่ยากเท่าไหร่ แล้วก็จะมีข้อนึงเกี่ยวกับตรีโกณ ซึ่งเราโคตรง่อยเรื่องตรีโกณ แค่อ่านโจทย์เจอคอสกับไซน์กับแทนก็เลิกทำแล้วค่ะ 555 โดยส่วนตัวคิดว่าคณิตไม่ยากเท่าไหร่ค่ะ แต่เราไม่แม่นเราเลยทำไม่ได้ ฮ่าๆ เพราะเพื่อนเราที่ติดสอวน.เขาบอกทำได้ยกเว้นข้อวงกลมข้อเดียว ส่วนเราทำไม่ได้สามข้อ 5555
            เคมี ปีนี้มีข้อใหญ่ที่เกี่ยวกับเคมีอินทรีย์ข้อนึงเต็มๆ เลยค่ะ แบบให้สารตัวนึงมาแล้วให้ปฏิกิริยามาเพียบเลย ถามสารผลิตภัณฑ์ของปฏิกิริยาต่างๆ ค่ะ คือเคมีมันออกหลายเรื่องมากน่ะค่ะเลยจำไม่ได้ค่อยได้ มีคำนวณกรด-เบส หาความเข้มข้นของ H+ อะไรแบบนี้ แล้วก็มีถามเรื่องเซลล์อิเล็กโทรไลต์ด้วยค่ะ อันนี้เราจำไม่ได้ เสียดายมาก ฮือออ อ้อๆ ปีนี้มีสอบเรื่องเกี่ยวกับโปรตีนด้วยค่ะ ถามขนาด สมบัติ ไรงี้ ซึ่งเราจำไม่ได้หมดเลย 5555
            ชีวะ อันนี้บอกเลยว่าไม่ค่อยยากเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าเราอ่านไปตรงพอดีด้วยมั้งคะ เขาจะให้มาเป็นเพจเสจยาวๆ เลย แล้วก็เว้นช่องไว้ให้เราเลือกเติมคำน่ะค่ะ ของปีนี้มีเรื่องเกี่ยวกับ DNA แล้วก็ความแตกต่างกันของเซลล์พืชเซลล์สัตว์ แล้วก็มีอีกเรื่องนึง เราบอกไม่ถูกว่าเรื่องอะไร แต่มันแบบให้การทดลองมาน่ะค่ะ แล้วก็ถาม คือถ้าเราอ่านภาษาอังกฤษออกแล้วก็วิเคราะห์เป็นก็ทำได้ค่ะ แล้วก็มีคำถามทั่วไปอีกนิดหน่อยค่ะ แล้วก็ฟิสิกส์ อันนี้เราไม่ได้สอบค่ะเพราะเลือกสาย Natural Science C ไปแต่เพื่อนเราสอบนะ คือเขาบอกว่าไม่ยากเท่าไหร่ แต่เพื่อนเราเด็กสอวน.นะคะ ยังไงก็อย่าเชื่อเขามาก 555 เห็นเขาบอกออกเทอร์โมเยอะค่ะ แต่ใช้หลักการแค่ไม่กี่หลักการค่ะ
            
อันนี้คือจำนวนคนที่ไปสอบปีนี้ค่ะ เยอะเนอะ กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเด็กเตรียมกับมหิดลค่ะ
            ทีนี้มาดูเรื่องการสมัครสอบบ้างดีกว่าค่ะ ตอนแรกเราบอกแล้วเนอะว่าถ้าสมมติใบสมัครผ่านจะมาเขียนให้เป็นแนวทางแก่รุ่นน้อง :) คือว่าเราส่งใบสมัครทางไปรษณีย์ค่ะ คือมันสามารถไปยื่นเองก็ได้ ส่งทางไปรษณีย์ก็ได้ค่ะ :) ที่อยู่เขาจะมีมาให้แนบท้ายใบไกด์ไลน์อยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าไม่มีจริงๆ ก็สามารถโทรไปถามหรือไม่ก็หาในเน็ตเอาได้ค่ะ (ถ้าจำไม่ผิดเหมือนเราจะเคยลงให้แล้ว)
            สำหรับใครที่คิดจะส่งทางไปรษณีย์เหมือนเราเนี่ยจะต้องรอบคอบหน่อยนะคะ เพราะถ้ามันผิดคือเราจะถูกตัดสิทธิ์เลยค่ะ ยังไงก็ตรวจเช็คหน่อยนะคะ :) ถ้าส่งทางไปรษณีย์เนี่ย พร้อมเมื่อไหร่ก็ส่งไปได้ค่ะ สมมติเขาเปิดให้ส่ง 3-7 มิถุนายน เราไม่จำเป็นต้องส่งไปช่วงนั้นนะคะ ส่งก่อนก็ได้ค่ะ แต่เขาจะมีทีมมาตรวจสอบเอกสารช่วงนั้นค่ะ ซึ่งทางสถานทูตบอกว่าส่งมาเมื่อไหร่ก็ได้ขอแค่ห้ามเกินวันสุดท้ายก็พอค่ะ ตอนเราส่งปณ.ไปเนี่ยแนะนำให้ส่งแบบ EMS ติดตามได้นะคะ พอเช็คสถานะว่าเขาเตรียมจัดส่งแล้วก็รอสักครึ่งวันไม่ก็อีกวันนึงค่อยโทรไปถามค่ะว่าทางสถานทูตได้รับหรือยัง พอเขาได้รับแล้วอีกวันหนึ่งเราก็โทรไปถามว่าเอกสารเราผ่านไหมค่ะ เขาจะให้เลขประจำตัวสอบเรามาแค่นี้กเป็นอันเรียบร้อยค่ะ วันสอบจริงสำหรับในปีนี้เขาสอบที่จุฬา เราต้องไปเอาบัตรที่ห้องประชุมชั้นหนึ่งค่ะ แต่เราไม่ได้ไปเอาเพราะไม่รู้ กรรมการคุมสอบก็ใจดีมากบอกว่าให้ใช้บัตรประจำตัวประชาชนแทนได้ ฮาาาา ถ้าเป็นคนที่ไปสมัครด้วยตนเองจะได้ใบเข้าห้องสอบมาเลยค่ะ :)
            หมายเหตุ : ต้องขอขอบคุณบล็อคของเจ้าจอมและของ eternize นะคะที่ทำให้เราส่งเอกสารได้ถูกต้องครบถ้วน :)
            มาดูกันก่อนดีกว่าว่าเราต้องใช้อะไรบ้าง เอากระดาษขึ้นมาจดและติ๊กถูกไว้ถ้าเราเตรียมเสร็จแล้วนะคะ
            1. Admission Form
            2.ใบสมัคร
            3.ใบประมวลผลระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Transcript) **ขอเป็นภาษาอังกฤษนะคะ
            4. หนังสือรับรองสถานภาพจากโรงเรียนซึ"งรับรองว่าจะจบการศึกษาในเดือนมีนาคมของปีถัดไป **ย้ำนะคะว่าต้องให้โรงเรียนลงให้ด้วยว่าคาดว่าจะจบการศึกษาภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไปค่ะเพราะไม่งั้นเขาจะไม่ให้ผ่าน*
            5.หนังสืออนุญาตจากผู้ปกครองพร้อมลายเซ็นรับรองว่าให้สมัครทุนและให้ไปเรียนทุนญี่ปุ่น
            6. ประกาศนียบัตรสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น JLPT (ถ้ามี) (ใช้สำหรับคนที่เกรดต่ำว่า 3.8 ค่ะ)
            เริ่มจาก Admission Form ก่อนนะคะ ง่ายที่สุด 5555 หยิบใบAdmission Form ขึ้นมาก่อนเลยค่ะแล้วมาดูกันตั้งแต่หัวกระดาษเลยนะ
            สำหรับการกรอกใบสมัครนะคะ ให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดค่ะ ส่วนจะเขียนหรือพิมพ์นั้นแล้วแต่สะดวกเลยค่ะ สาเหตุที่ในใบสมัครเขาเขียนว่าควรพิมพ์เพราะว่ามันจะได้ง่ายต่อการอ่านค่ะ อย่าลืมนะคะว่าถ้าผ่านรอบข้อเขียนไปใบสมัครจะไปอยู่ในมือคนสัมภาษณ์เราค่ะ มันจะเป็นความประทับใจแรกพบ ยังไงก็ต้องทำให้ดูดีที่สุดไว้ก่อนค่ะ
            สำหรับ Admission Form นะคะ จะเป็นใบเข้าห้องสอบค่ะ อันนี้จะไม่มีอะไรมาก พอกรอกเสร็จแล้วก็ตัดครึ่งเตรียมไว้ได้เลยค่ะ :)
อันนี้คือส่วนหัวสุดค่ะ ตรงที่เขียน Bangkok Chiang Mai เนี่ยให้เลือกวงตรงจังหวัดที่เราสะดวกจะไปสอบค่ะ
ส่วนตรง Registration No. ไม่ต้องไม่ยุ่งกับมันค่ะ เขาไว้เขียนเลขที่นั่งสอบค่ะ

ต่อมานะคะ ตรงที่เขาวงเล็บว่า Family Name ก็ให้ใส่นามสกุลภาษาอังกฤษลงไปค่ะ อย่าลืมนะคะว่าต้องใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ในการกรอกเท่านั้น แล้วก็ตรง Firstname ก็ให้เขียนชื่อจริงภาษาอังกฤษค่ะ ส่วนข้างล่างก็เขียนเป็นภาษาไทยค่ะ
สำหรับตรงนี้คือเขาถามว่าใครอยากสอบภาษาญี่ปุ่นไหมน่ะค่ะ ถ้าจะสอบก็ติ๊กตรง Yes ถ้าไม่ก็ติ๊กตรง No ค่ะ

            แค่นี้ก็เสร็จแล้วะนะคะสำหรับการกรอก Admission Form น่ะค่ะ มันจะมีส่วนของผู้สมัครกับส่วนของสถานทูต ให้กรอกเหมือนกันทั้งสองส่วนเลยนะคะ กรอกเสร็จตัดครึ่งค่ะ แล้วก็รวมไว้ในเอกสารการสมัครได้เลยไม่ต้องเก็บส่วนของเราไว้ที่ตัวเองนะเพราะมันต้องให้สถานทูตเขาเขียนเลขที่นั่งสอบให้ก่อน เอ่อ เกือบลืม มันจะมีที่ให้ติดรูป ก็ติดรูปลงไปด้วยนะคะ ด้านหลังรูปให้เขียนชื่อ นามสกุล แล้วก็สัญชาติตัวพิมพ์ใหญ่ไว้ด้วยนะคะ ถ้าเผื่อว่ารูปเราหลุดเนี่ยพี่ๆ ที่สถานทูตเขาจะได้ติดคืนให้ถูกคนค่ะ

            มาดูส่วนของ Application Form กันบ้าง ตรงนี้แหละที่เยอะ ฮาาาาาาา

            กติกาเหมือนเดิมนะคะ ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ในการกรอกเอกสารค่ะ

ตรงมุมบนขวาก็เหมือนกับ Admission Form เลยค่ะ ให้วงตรงจังหวัดที่เราจะไปสอบ ที่เหลือไม่ต้องทำอะไรค่ะ (วงให้เป็นจังหวัดเดียวกับ Admission Form นะคะ)

           อย่าลืมคลิ๊กขยายภาพก่อนดูคำอธิบายนะคะ เพราะว่าอันนี้ค่อนข้างเยอะค่ะ  555 มาเริ่มจากข้อหนึ่งกันก่อนะคะ
           (1.) ให้เขียนชื่อเต็มลงไปค่ะ สำหรับบรรทัดแรกนะคะ Native Language ก็คือภาษาประเทศเราน่ะค่ะ ในที่นี้ก็ภาษาไทย ช่องแรกก็เขียนนามสกุลจริง ช่องกลางเขียนชื่อจริง ส่วนช่องริมสุดเขียนชื่อกลางค่ะ (คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีชื่อกลางค่ะ ถ้าไม่มีก็ให้เว้นว่างๆไว้ค่ะ)
           ส่วนบรรทัดต่อไปให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ค่ะเหมือนภาษาไทยเลย ช่องแรกนามสกุล ช่องสองชื่อจริง ช่องสามชื่อกลางค่ะ (เขาบอกให้เขียนชื่อแบบเดียวกับที่เขียนในพาสปอร์ตนะคะ)
           ทีนี้มาดูตรงขวามือก่อนค่ะ ตรงช่อง Sex ให้ติ๊กว่าเป็นหญิงหรือชายโดยใช้เครื่องหมาย X ค่ะ ส่วน Marital Status ก็ให้ติ๊กว่าแต่งงานแล้วหรือยังโสดอยู่ค่ะ แล้วตรงข้างล่างที่เป็นกรอบสี่เหลียมก็ติดรูปลงไปค่ะ เหมือนเดิมนะคะอย่าลืมเขียนชื่อตัวพิมพ์ใหญ่กับสัญชาติลงไปด้วยค่ะ
           (2.) สำหรับข้อสองนะคะ ตรงช่องข้างหลัง Nationaliry ให้เราเขียนสัญชาติเราลงไปค่ะ ในทีนี้คือ THAI ค่ะ แล้วก็ที่เขีนยว่า 2-2 Japanese Nationality ตรงนี้เราติ๊ก No ไปค่ะ (ใช้เครื่องหมาย X ค่ะ) แต่ถ้าใครมีก็ให้ติ๊ก Yes ไปค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีเนอะ ฮาาาา
           (3.) Date Of Birth ให้ใส่ปีเกิด เดือนเกิด แล้วก็วันเกิดลงไปค่ะ สำหรับปีเกิดเขาให้เลขสองตัวแรกมาแล้ว เราก็เขียนต่อไปอีกสองตัวค่ะ แล้วต่อมาเขาเขียนว่า Month ให้ใส่เดือนเกิดค่ะ เช่นเราเกิดมกราคมก็ใส่ JANUARY ลงไปค่ะ (อย่าลืมนะคะว่าใช้ตัวพิมพ์ใหญ่ในการกรอกเอกสารนี้ทั้งหมด) แล้ววันเกิดก็เขียนเลขวันเกิดลงไปเลยค่ะ ต่อมาเขามีเขีนยว่า Age ก็ให้ใส่อายุของวันที่ 1 เดือนเมษายนของปีที่รับทุนลงไปค่ะ สำหรับเราก็ 18 น่ะค่ะ 
           (4.) ให้ใส่ที่อยู่ เบอร์โทร อีเมลล์ที่ติดต่อได้จริงลงไปค่ะ ไม่จำเป็นต้องตามทะเบียนบ้านค่ะ แต่ถ้าตามได้ก็ดี ฮาาา ในกรณีเราเราใส่ตามทะเบียนบ้านค่ะเพราะกลัวมันไม่ตรงกับบัตรประชาชน แต่ปรากฏว่าเขาเอาแค่ให้ส่งจดหมายมาหาเราถึงก็พอค่ะ 5555 ที่สำคัญสำหรับข้อนี้นะคะ ตรงช่อง Present Address ที่ให้ใส่ที่อยู่นะคะ อย่าลืมใส่รหัสไปรษณีย์นะคะ :)


           (5.) ให้เขียน X หน้าช่องของสาขาวิชาที่เราเลือกสมัครค่ะ สำหรับรายละเอียดดูได้ในไกด์ไลน์ค่ะ อย่างเราเลือกสอบ Medicine อยู่ในสาย Natural Science C ก็ติ๊ก X ตรงข่องสี่เหลียมเล็กๆ หน้า Natural Science C ค่ะ

แบบนี้ๆ

           (6.) ให้เขียนสาขาวิชาที่เราอยากเรียนลงไปค่ะ เช่น MEDICINE PHYSICS PHARMACY อะไรแบบนี้น่ะค่ะ สามารถเลือกดูได้จากในไกด์ไลน์ค่ะ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกรอกทั้งสามตัวเลือกนะคะ แล้วแต่เราเลยค่ะว่าจะเลือกกี่อัน อย่างของเราเงี้ยเราเลือก Medicine อย่างเดียวเลยค่ะ ฮ่าๆๆ เอ่อ แล้วก๊อีกอย่างหนึ่งนะคะ เขาเขียนไว้ในไกด์ไลน์แล้วล่ะว่าห้ามเลือกสาขาวิชาข้ามสาย เช่น Natural Science B จะเลือกของ A ไม่ได้ อะไรแบบนี้น่ะค่ะ ยกเว้น B กับ C นะคะ มันเลือกด้วยกันได้เพราะสอบวิชาเดียวกันค่ะ
           (7.) เขาให้เลือกค่ะว่าจะสอบภาษาญี่ปุ่นมั้ย ถ้าสอบก็ติ๊ก Yes ถ้าไม่ก็ติ๊ก No ค่ะ ด้วยเครื่องหมาย X นะคะ

           (8.) พูดง่ายๆ คือเขาถามว่าเราเรียนสายอะไรค่ะ อย่าตอบแบบ SCIENCE AND MATH หรืออะไรแค่นี้นะคะ เขียนบอกเขาไปหน่อยว่าเราเรียนยังไง เน้นแบบไหน อย่างของเราเราเขีนยว่า I STUDY IN SCIENCE AND MATH INTENSIVE PROGRAM WICH FOCUS ON MATHEMATICS, PHYSICS, CHEMISTRY, BIOLOGY AND ENGLISH.ทำนองนี้จ้ะ
           (9.) ให้เราบอกสถานะในตอนนี้และชื่อของบริษัทหรือโรงเรียนทีเราอยู่ค่ะ สำหรับเด็กม.หกอย่างเราก็ให้เขียนตรงช่องที่เว้นว่างๆ ไว้ด้านล่างคำถามข้อเก้าว่า STUDENT ค่ะ แล้วค่อยไปเขีนยชื่อโรงเรียนตรงที่เขามีขีดๆ ให้น่ะค่ะ ตรง Name Of School ก็เขียนชื่อรร. in___ grade ก็ให้ใส่ว่าเกรด 12 (สำหรับเด็กม.หกค่ะ) will graduate in ตรงที่เขีนย year ให้เขียนปีถัดไปลงไปค่ะ อย่างเราปีนี้ปี 2013 เราสมัครทุนของ 2014 ก็เขียนตรงช่อง year ว่า 2014 ค่ะ ส่วน month ก็เขีนยว่า MARCH ค่ะ ส่วนข้างล่างจะเกี่ยวกับผู้ว่าจ้างค่ะ ถ้ายังเป็นนักเรียนอยู่ก็เว้นว่างไว้ค่ะ

          (10.) สำหรับตรงนี้คือมันเยอะมาก เราเลยจะเอาของเราให้ดูเลย ขออนุญาติเซนเซอร์ชื่อโรเงรียนกับเกรดเฉลี่ยนะคะ คืออายเกรดเฉลี่ยมาก ฮาาาาาา ถ้าสงสัยยังไงตรงไหนก็คอมเม้นถามแล้วกันน้า เอ่อแล้วก็ตรงช่อง Location น่ะค่ะ ให้เขียนแค่จังหวัดพอนะคะ อย่างเราเรียนอยู่ในชลบุรีก็เขียนว่า CHONBURI ค่ะ
ตรงสีดำๆ คือเราเซนเซอร์ไว้ค่ะ คือขี้เกียจไปตัดออกในโฟโต้ช็อบเลยใช้ออฟชั่นปากกาของโปรแกรมแค็บหน้าจอเลยค่ะ แหะๆ

          (11.) สำหรับอันนี้จะเป็นเกี่ยวกับภาษาค่ะ มาดูในตารางน้า ช่องแรกคือภาษาญี่ปุ่นค่ะ เราจะเลือกใส่ EXCELLENT GOOD หรือ POOR ก็ได้ค่ะตามแต่ความสามารถเราเลย อย่างเราไม่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมาก่อนก็เลยใส่ตรงช่อง Japanese ว่า POOR หมดเลยค่ะ ฮ่าๆ แล้วก็ English เราใส่ Good ส่วนช่องสุดท้าย ที่เขียนว่า Others แล้วมีวงเล็บให้ใส่ THAI ไว้ในวงเล็บค่ะ แล้วเขียน EXCELLENT ให้หมดทุกช่องเลย 5555 ทั้งไรท์ติ้ง รีดดิ้ง และสปีคกิ้งค่ะ นี่คือข้อดีของการมีภาษาเป็นของตัวเอง ฮ่าๆๆ
          มาดูข้างล่างตรงกรอบสี่เหลี่ยมที่มีสองช่องกันบ้างค่ะ สำหรับข้อนี้เขาถามว่าเคยสอบภาษาญี่ปุ่นไหม ให้วงกลมเลข 1 ถ้าเคยสอบแล้วและให้เขียนเลเวลด้วยค่ะ  ถ้าไม่เคยเรียนก็วงกลบรอบเลข 2 เลยค่ะ (แน่นอนว่าเราวงอันที่สองเพราะพูดญี่ปุ่นได้แค่สองสามประโยคเองค่ะ)
          (12.) อันนี้สำหรับคนที่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นค่ะ ก็กรอกไปตามนั้นเลย ส่วนเราไม่มีก็ข้ามไปค่ะ


          (13.) สำหรับอันนี้เขาจะให้เขียนค่ะว่าทำไมเราถึงได้เลือกเรียนสาขานี้ค่ะ ดูให้ดีๆ นะคะ เขียนสาขาให้ตรงกับที่กรอกไว้ตรงข้อหกค่ะ อย่างเช่นตรงข้อหกกรอก First Choice ไว้ว่า MEDICINE อันนี้ก็ให้เขียน MEDICINE ตรงที่เขาขีดเส้นเอาไว้ให้น่ะค่ะ ส่วนตรงพื้นที่ว่างๆ สีขาวๆ ภายในวงเล็บก็ให้เขียนเหตุผลว่าทำไมเราถึงเรียน บลาๆๆๆ ปล. อย่าลืมว่าให้ใช้พิมพ์ใหญ่ทั้งหมดนะคะ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าเขาจะห้ามใช้ตัวย่อด้วยค่ะ ถ้าจะเขียน I'M ก็เขียน I AM แทนนะคะ (อันนี้เราไม่ค่อยแน่ใจนะ จำไม่ได้เล้ว แต่เราเขียนแบบเต็มไปหมดเลยค่ะ เขียนสักย่อหน้าสองย่อหน้าก็พอแล้วค่ะ อย่าเขียนสั้นเกินนะคะ เพราะว่าอย่าลืมว่าถ้าเราผ่านข้อเขียนแล้วคนสัมภาษณ์เขาจะรู้จักเราก็จากตรงนี้แหละค่ะ

          (14.) อันนี้ก็ตอบคำถามไปค่ะว่าแบบจะไปเรียแบบไหนที่ญี่ปุ่นหรอ อย่างเราก็บอกว่าเราจะเรียนเกี่ยวกับสุขภาพนะ แบบว่าเรียนว่ารักษายังไง ถ้าจะได้ดีอยากให้ประยุกต์กับพวกเพียวไซน์ด้วย จะได้ทำงานวิจัยเป็น อะไรแบบนี้น่ะค่ะ แต่เขียนเป็นภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมดนะคะ(เราแลย้ำกับตัวพิมพ์ใหญ่เนอะ 555 ก็นะ เผื่อพลาดไง)
          (15.) อันนี้ก็เขียนไปว่าประทับใจอะไรในญี่ปุ่นค่ะ
          (16.) อันนี้ให้เขียนว่าพอจบมาแล้ว กลับมาประเทศแล้วจะทำงานแบบไหนค่ะ อย่างเราก็เขียนว่าจะกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลรัฐบาลสักสองสามปีแล้วก็จะไปเรียนต่ออะไรทำนองนี้ะน่ะค่ะ

          (17.) อันนี้ให้เขีนยว่าเคยไปญี่ปุ่นมาไหมน่ะค่ะ อย่างเราเคยไปเราก็เขียนไปว่าไปวันไหน กลับวันไหนค่ะ เราใช้วันที่ประทับตราเข้าประเทศเป็นวันไปและวันที่ประทับตราออกประเทศเป็นวันกลับค่ะ เวลาเขียนวันที่ก็เขียนเป็นวันเดือนปีปกติเลยค่ะ เช่น 13 MARCH 2013 อะไรแบบนี้น่ะค่ะ แต่ถ้ากลัวไม่พอจะเขียนย่อก็ได้ค่ะ ส่วนช่องหลังเขาให้เขียนเหตุผลที่ไปค่ะ เราไปเที่ยวก็เขียนว่า FOR TOURING JAPAN ค่ะ (ให้เขียนเริ่มจากครั้งล่าสุดที่ไปมานะคะ เราไปมาแค่ครั้งเดียวเลยเขียนแค่ครั้งเดียวค่ะ ถ้าใครไปสามครั้งให้เขียนสองครั้งล่าสุดค่ะ)
          (18.) อันนี้คือให้ใส่ชื่อผู้ปกครองหรือใครก็ได้ที่จะให้เขาติดต่อในกรณีฉุกเฉินค่ะ สำหรับข้อ i)ให้เขีนยชื่อนามสกุลเต็มของคนคนนั้นลงไปค่ะ ให้เขียนนามสกุลก่อนชื่อนะคะ ต่อมาข้อ ii) ก็เหมือนเดิมค่ะ เขียนที่อยู่ บลาๆ ตรงที่อยู่อย่าลืมใส่รหัสไปรษณีย์นะคะ iii) ใส่อาชีพลงไปค่ะ iv)ใส่ว่าเขาเป็นอะไรกับเราค่ะ อย่างเราใส่ชื่อพ่อลงไปตรงนี้ก็ต้องใส่ว่า FATHER ค่ะ


          เย้ หมดแล้วว!! อันนี้ส่วนสุดท้ายแล้วค่ะ บรรทัดแรกให้เขียนว่าเรากรอกใบสมัครเสร็จพร้อมยื่นเมื่อไหร่ ไม่ต้องกังวลกับมันมากค่ะ ใส่วันที่เราเซ็นต์ชื่อก็พอแล้ว ไม่ต้องกลัวว่ามันจะไม่ตรงกับวันที่เราไปขอเอกสารอื่นหรือว่ามันจะไม่ตรงกับวันที่เขาเช็คใบสมัคร คือมันไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นค่ะ :) บรรทัดที่สองคือลายเซ็นค่ะ เขียนให้เหมือนในพาสปอร์ตนะคะ และอันสุดท้ายคือชื่อที่เขียนตัวบรรจงค่ะ ตัวภาษาอังกฤษพิมพ์ใหญ่เหมือนเดิม เอานามสกุลขึ้นก่อนชื่อนะคะ

          สำหรับย่อหน้าสุดท้ายตรง Note คือเขาถามประมาณว่าถ้าไม่ได้ทุนนี้แล้วถ้ามีทุนอื่นจะเอาไหม คือเหมือนกับว่าถ้าเราตกลงพวกคะแนนสอบอะไรพวกนี้ของเราก็จะถูกส่งให้โครงการอื่นๆ ด้วยน่ะค่ะ เราว่าติ๊ก YES ไปก็ไม่เสียหายนะคะ (ติ๊กด้วยเครื่องหมาย X ค่ะ)

          ข้างล่างต่อจากนี้ไปคือฟอร์มของ The Letter Of Agreement ค่ะ หรือที่ในใบสมัครเขียนว่าใบขออนุญาตผู้ปกครองน่ะค่ะ

LETTER OF AGREEMENT

To whom it may concern,
As the parents of ชื่อผู้สมัคร, we ชื่อผู้สมัคร to apply for the Japanese Government Scholarship for ปีที่ได้รับทุน (Thailand). If she/he was selected as the grantee, we sincerely permit her/him to study in Japan.


______________________________                               _____________________________
            Signature of Father                                                          Printed Father Name

______________________________                               _____________________________
          Signature of Mother                                                          Printed Mother Name

เขียนวันที่ตรงนี้
Date

          เห้อ เสร็จแล้ว ในที่สุด ได้เวลานอนสักที :) อิอิ เราหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่ผ่านไปผ่านมาในนี้น้า :) มีอะไรสงสัยก็ถามได้นะ

สวัสดี :)


Read more

29.5.56

When I registered swu.
พฤษภาคม 29, 25560 Comments

สมัครมศว.

          กลับมาแล้วหลังจากหายไปนานหลายวัน คือยุ่งนะ แบบว่าเปิดเทอมวันแรก ม.หกวันแรก อยู่หอใหม่วันแรก อะไรๆ ก็ยังไม่ลงตัว การได้ไปเจอเพื่อนนี่เป็นอะไรที่ฟินสุดๆ แบบว่าดีใจนะ ฮ่าๆ แต่มันก็ต้องตระหนักเนาะว่าเวลาสนุกของเราใกล้จะหมดลงเรื่อยๆ แล้ว

            ตอนแรกวันอังคารน่ะ ทุกคนลั้นลามากนะ มีความสุขมาก ยังไม่เครียด แต่เชื่อมั้ยว่าพอเรียนแนะแนวเท่านั้นแหละ ทุกคนเงียบ... ต่างคนต่างกังวลกับอนาคตของตัวเอง ตอนนั้นเราเองก็เครียดเหมือนกัน คิดแล้วก็แบบ เฮ้อ อยากมีที่เรียนจัง

            ตกเย็นเราก็ไปกรอกใบสมัครของมศว. เราสมัครสอบเศรษฐศาสตร์กับบริบาลเภสัช คือตอนแรกจะสอบวิทยาเภสัชนะ แต่ว่าคิดไปคิดมาแล้วอ่ะ เรายอมรับนะว่าเราชอบแนววิทยามากกว่าแต่มาพิจารณาความสามารถตัวเองและอะไรหลายๆ อย่างแล้วคิดว่าเรียนบริบาลน่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็ได้ช่วยคนโดยตรง ไม่ได้อะไรนะแต่ว่าถ้าเรียนวิทยาเภสัชแล้วเราไม่ได้หวังแค่ว่าจะไปทำงานในโรงงาน แต่เราหวังถึงขั้นทำงานในแล็ปและคิดค้นยามาช่วยชีวิตคน แต่เราคิดว่าโอกาสที่จะทำแบบนั้นมันน้อยมากจนแทบจะติดลบเลย ก็เลยคิดว่าเพื่อให้ตัวเองได้ช่วยคนเยอะที่สุดเรียนบริบาลดีกว่า ฮ่าๆ

            ส่วนเศรษฐศาสตร์สอบห้อยไว้ให้แม่กับพ่อเฉยๆ ที่จริงพวกท่านก็ไม่ได้บังคับนะ แต่ก็พูดเป็นนัยๆ ว่าอยากให้เรียนก็เลยคิดว่าสอบไปก็ไม่เสียหาย คงไม่ติดหรอกมั้ง... คงสู้เด็กสายศิลป์ที่เตรียมมาทางนี้จริงๆ ไม่ได้หรอก J

            วันนี้แวะไปโอนเงินมาแล้ว ทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วสำหรับการสมัครสอบมศว. เหลือเพียงอย่างเดียวก็คือไปสอบ ฮ่าๆ ถ้าสอบติดมาก็จะมีงานอีกเพียบ แต่ถ้าสอบติดแล้วการเตรียมเอกสารพวกนั้นคงไม่น่าปวดหัวเท่าไหร่ ราคาค่าสมัครก็สาขาละหกร้อยบาท เราสมัครสองสาขาก็หนึ่งพันสองร้อยบาท ยังคิดอยู่เลยว่าจะเอาเงินไปทิ้งฟรีๆ โดยที่สอบไม่ติดหรือเปล่า

            เราคงต้องฟิตกว่านี้สินะ J

          เฮ้อออออออออออ

            เหนื่อยจัง... มันเหนื่อย มันกลัว มันรู้สึกตื้อๆ ไปหมดเลย...

            แย่เนอะ

            แต่เพื่ออนาคตที่สดใสแหละนะ J

            เห็นเพื่อนเรามีปัญหากันเยอะมาก เวลาเลือกสาขาชอบมากังวลกับจำนวนรับ อันนี้เราพูดตรงๆ คือไม่ต้องห่วงหรอกว่าจะติดหรือไม่ติด ยิ่งของมศว.ยิ่งไม่ต้องห่วงเพราะเป็นสนามสอบแรก คือมันเหมือนกับว่ามีเพื่อนเราคนนึงอยากสอบคณะ A แต่ว่าเห็นคณะ B น่าสนใจแต่เวลาสอบคือเวลาเดียวกัน เลือกได้แค่อันเดียว แต่ B รับเยอะกว่า เพื่อนถามว่าสอบ B ดีมั้ย โอกาสติดมากกว่านะ รับเยอะกว่านะ ถ้าใครมีปัญหาแบบนี้ให้ถามตัวเองว่าเราอยากเรียนอะไรกันแน่ มันไม่ใช่ว่าสอบไปแค่ว่าอยากติดหรือเพิ่มโอกาสให้ตัวเองสอบติดนะ แต่เราต้องถามตัวเองด้วยว่าสอบติดแล้ว ได้เรียนแล้วมันจะไปทำงานแบบไหน เราพร้อมเหรอที่จะเรียนแบบนั้นทำงานแบบนั้น แล้วคณะ A ล่ะ คณะที่เรามุ่งไว้แต่แรกล่ะ เราจะยอมแพ้แค่เพราะจำนวนที่เขารับมันน้อยเหรอ อะไรทำนองนี้

            ก็ลองถามตัวเองดู

            แต่ส่วนใหญ่ถ้าคนที่มีคณะในใจอยู่แล้วก็คงไม่มีปัญหาหรอกมั้ง

            บาย
            สวัสดี J
Read more